ตอนผมสอน Tech Leadership รอบ 2 เป็นรอบที่เราพูดถึงเรื่อง Expectation management เยอะมาก
หลายๆ ครั้งเวลาเรานำทีม เรามีความคาดหวังกับลูกน้อง เรามีความคาดหวังกับหัวหน้า ซึ่งประเด็นที่คุยกันเยอะคือ ลูกน้องทำไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้บ้าง บริษัทไม่ได้ทำตามที่เราคาดหวังบ้าง
ผมได้เล่าให้ฟังว่า ประเด็นใหญ่สุดของเรื่องนี้มันคือการยอมรับความจริงก่อน
สมมติเราเคยประเมินว่าทีมของเราจะทำงานแบบนี้ได้ เพราะเราคิดแล้วว่าเรามีลูกน้องคนนี้ทักษะแบบนี้จะทำงานส่วนนี้ คนนั้นทำงานส่วนนั้น แล้วทักษะหรือความรับผิดชอบ มัันไม่เป็นไปตามที่เราคิดไว้แต่แรก
วันนั้นผมจำได้ว่ามันมีคำถามมากมายว่า จะต้องคุยกับลูกน้องยังไงบ้าง หัวหน้ายังไงบ้าง
ผมตอบว่า กฎข้อแรกคือ ยอมรับความจริง
ผมไม่มีสูตรสำเร็จให้ แต่กฎข้อแรกคือ ยอมรับความจริง อย่าฝืนความจริง เพราะผมพบว่าการฝืนความจริงนี่เป็นหล่มที่คนเราตกกันบ่อยสุด
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เลยว่า ถ้าสมมติลูกน้องทำงานได้ไม่ถึงตามที่มันเคยโม้ไว้ แล้วมันก็เห็นผลตระหนักมา 203 รอบแล้ว การไม่ยอมรับความจริงรูปแบบนึงคือ การนั่งด่าจนกว่ามันจะทำได้ตามที่โม้ไว้
เพราะถ้าความจริงคือเขาทำไม่ได้ในเวลานี้ มันก็คือความจริง
เราอาจจะช่วยจัดเทรนนิ่งให้เขา เราอาจจะเปลี่ยนแปลงลดสโคปงาน เราอาจจะต่อรองเงินเดือนค่าตอบแทน เราอาจจะไล่ออก เรามีรทางเลือกเยอะมาก
แต่ทางเลือกและทางออกมันจะปรากฎได้ ต่อเมื่อเรา “ยอมรับความจริง” เสียก่อน
ทั้งหมดข้างบนคือผมเกริ่มเรื่องที่เคยอธิบายในคลาสไป
ทีนี้ผมได้เจอเรื่องนึงที่น่าสนใจและพบว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ซึ่งต้นเรื่องที่ผมเจอคือ คนเราหลายๆ คน อาจจะมี Abusive parent ที่อาจจะหลงตัวเอง ทำร้ายเด็กในรูปแบบต่างๆ มากมาย เขาอาจจะไม่ใช่ Parent ที่แย่ แต่มันมีมุมที่อาจจะทำร้ายเราเยอะมากในบางมุม
นักจิตวิทยาบอกว่า สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดในสภาวะนี้ ไม่ใช่การ Abusive โดยตรงหรอกนะ นั่นก็แย่ แต่ไม่ทำร้ายคนเท่ากับอีกเรื่อง
เรื่องที่ร้ายกาจที่สุด คือ การที่คนเรายังเห็นแสงแห่งความหวังว่า เขาอาจจะเป็นพ่อแม่ในอุดมคติของเราได้ และถ้าเรา “พยายามอีกนิด” “แก้อีกหน่อย” เขาจะเปลี่ยนไปเป็นพ่อแม่ในฝันที่เราถวิลหา ที่เราไม่เคยมีและไม่เคยในช่วงชีวิตของเรา
ความหวังเล็กๆ ตรงนี้แหละ ที่ทำร้ายคนเยอะมาก
เด็กหลายๆ คน มีภาพพ่อแม่ในฝัน มีภาพความหวังว่าพ่อแม่จะต้องเป็นยังงั้นยังงี้ เขาจะรักเราในแบบนั้นแบบนี้
แต่ในความเป็นจริง พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ตดเหม็นคนนึง มีความไม่สมบูรณ์แบบมากมาย
ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย พ่อแม่ที่อิจฉาลูกในบางเรื่อง เป็นอะไรที่ปกติและพบเจอได้เยอะมากๆ จากประสบการณ์ของคนทำงานจิตวิทยามา
ใช่ พ่อแม่ “ในฝัน” ไม่สมควรจะมานั่งอิจฉาลูกเวลาลูกได้ดี แต่พ่อแม่ “ในความเป็นจริง” ส่วนมากมีอารมณ์แบบนี้ จะมากจะน้อยก็ตามแต่
เด็กหลายๆ คน โตขึ้นมา จากภาพพ่อแม่ในฝัน ก็จะเห็นความเป็นจริงมากขึ้น ว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเป็นฮีโร่แบบที่เราคิดไว้ตอนเด็กๆ ภาพของพ่อแม่ในฝันมันก็พังทลายลง
จังหวะนี้แหละที่เกิดเป็นความสูญเสีย จนทำให้เราแทบทุกคนต้องผ่านการ Grief เพื่อยอมรับความจริงในเวลาที่โตขึ้น
พ่อแม่รักเรา แต่ก็มีส่วนที่เห็นแก่ตัวกับเรา และก็มีชีวิตของเขาเอง ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร ก็เป็นคนธรรมดาคนนึง
และพอเรา Grief เสร็จแล้ว เราก็จะอยู่กับพ่อแม่ของเราได้อย่างสมดุลขึ้น
แต่เวลาที่เด็กโตมากับ Abusive parent แล้ว Grief ไม่เสร็จ ยอมรับความจริงไม่เสร็จ โดยมักจะพ่อแม่ที่เป็น Narcissist
ความสูญเสียยังไม่จบ การยอมรับความจริงยังไม่เกิด
ถ้าพยายามอีกนิดนึง ถ้าฉันเปลี่ยนนิดหน่อย ฉันจะได้พ่อแม่ในฝันกลับมา
สิ่งนี้แหละที่ทำให้เด็กไปจนถึงคนมีอายุหลายๆ คน ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่สมดุลกับพ่อแม่ตัวเองได้เสียที
และนักจิตวิทยาเขาบอกว่า เวลาเขาทำงานกับคนที่อยู่ในสภาวะแบบนี้ เขาจะพยายามพา Grief จนจบ พาไปยอมรับให้ได้ว่า “พ่อแม่ในฝัน” ไม่มีจริง มีแต่คนธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง ซึ่งก็ต้องใช้ทั้งเวลาและการปลอบโยนกันเยอะ
พอผมฟังจบ ส่วนตัวผมรู้สึกว่า Grief Process ตรงนี้ มันเป็นพื้นฐานของ Human relationship ที่มันใช่สำหรับความสัมพันธ์ในการทำงานด้วยซ้ำ
สำหรับผมเอง บางครั้งผมคาดหวังกับลูกน้องบางอย่าง แล้วมันไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิต ผมพบว่าผมก็ผ่านขั้นตอนที่คล้ายกับการ Grief เป็นอย่างมาก
ในกระบวนการ Grief มันมี 5 stage
- Shock & Denial ไม่สิ เขาต้องทำได้สิ ไม่จริงหรอกที่เขาจะทำไม่เป็นตามที่เราหวัง
- Anger แก ทำไมแกถึงไม่เป็นไปตามที่ฉันคาดหวัง โกหก! เลว! ชั่ว!
- Bargaining ต่อรอง ว่าถ้าเราปรับ Environment แบบนั้นแบบนี้ ถ้าเราปรับอะไรยังงั้นยังงี้ มันจะได้
- Depress รู้สึกผิดหวัง หดหู่
- Acceptance ยอมรับความจริง และเดินต่อ
ผมพบว่าโปรเซสพวกนี้เกิดขึ้นในใจผม เวลาผิดหวังกับบริษัท กับลูกน้อง กับเพื่อนร่วมทีม เกิดขึ้นเสมอทุกรอบ
อ้อ มันคือการ Grief นี่เอง!
ผมเลยถึงบางอ้อว่า เวลาผมพูดว่า Accept the truth ยอมรับความจริงก่อน ซึ่งผมเซนส์ได้จากประสบการณ์ของผมเองว่ามันคือทางออก
คือผมกำลังบอกเพื่อนๆ ลูกศิษย์ คนมาเรียนทุกท่านว่า
“Grief ให้เสร็จก่อนนะ ทางออกจะมาเอง”
(แน่นอนผมไม่ได้บอกว่า Anger, Bargaining มันไม่ได้ผลนะ แต่ถ้าคุณทำแล้วมันได้ผล ส่วนมากมันจะได้ผลไปนานแล้ว ไม่ติดในหล่มเดิมๆ หรอก แต่ถ้าคุณ Anger กับเพื่อนร่วมทีมคนเดิมๆ เป็นปีๆ หรือนั่ง Bargaining เป็นปีๆ แล้ว ผมคิดว่า มันได้เวลา Move on ไปสู่ Stage ถัดไปของการ Grief แล้ว)
ยอมรับความสูญเสียเนอะ ยอมรับความผิดหวัง ยอมรับว่าสิ่งที่เราคาดหวัง เราไม่ได้มัน มันหายไปแล้ว
ในวันที่เราเผชิญหน้ากับความจริง บางครั้งเราจะพบว่า ภาพของทีมหรือ Role ต่างๆ ที่เรามองไว้ มันสูญสลายไปหมดแล้ว มันมลายสิ้นไปหมดแล้ว
ภาพ Senior developer ที่เราเคยมี มันไม่ตรงกับความจริง ภาพของ CTO ที่เราเคยมี มันไม่ตรงกับความจริง แม้แต่ภาพของบทบาทตัวเราเองว่า “หัวหน้าที่ดีต้องเป็นยังไง” มันก็อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่โลกแห่งความจริงเรียกร้องจากเรา
และแน่นอน มันเจ็บปวด มันผิดหวัง มันพาเราไปสู่ Grief
แต่เมื่อเรา Grief เสร็จ เราจะเดินหน้าได้
จริงๆ ทางออกที่มัน Practical มันมีเยอะมาก แต่ส่วนมากผมพบว่าคนเรา Grief ไม่เสร็จซะเยอะ ทำให้ทางออกที่เป็นไปได้มันไม่ถูกยอมรับ
ผมเคยยกตัวอย่างว่า มีน้องเขียนโปรแกรมไม่ได้อยู่ในทีม ทางออกที่ตรงไปตรงมา ก็สอนแล้วรอมันเป็น ถ้าเงินไม่พอ ก็ดูว่าเขาทำหน้าที่อื่นได้มั้ย หรือถ้าคิดว่าเสียเวลา ก็คุยกับหัวหน้าว่าคนของเราไม่ถึง อาจจะต้องปรับสโคป แล้วก็คุยกับเด็กคนนั้นว่าเราคาดหวังมากกว่านี้
แต่เวลาคน Grief ไม่เสร็จมันจะเป็นแบบ “น้องเขาเคยบอกว่าทำได้นะเว้ย เราคัดมาแล้วนะเว้ย มันต้องมีวิธีทำให้มันทำได้สิวะ”
โอเคแหละ มันอาจจะมี แต่ถ้าคุณลองมาเป็นเวลานึงแล้วมันไม่ได้ มันก็ถึงเวลายอมรับความจริงแหละครับ
และเมื่อเราพาตัวเองไปสู่จุดที่ยอมรับความจริงได้แล้ว ว่าความหวังของเราที่มี กับเพื่อนร่วมทีม กับลูกน้อง กับหัวหน้า กับบริษัท มันเป็นความหวังที่ไม่ใช่ความจริง
ทางออกจะมาครับ
เหมือนที่ผมบอกไว้ว่า Tech leadership รอบ 2 ที่เราคุยเรื่องนี้กันเยอะมาก ธีมมันคือ
Accept the truth, and the truth shall set you free